FBS ก้าวเข้าสู่ปีที่ 16

ปลดล็อกของรางวัลวันเกิด: ตั้งแต่แก็ดเจ็ตและรถในฝันไปจนถึงทริป VIPเรียนรู้เพิ่มเติม
เปิดบัญชี
เปิดบัญชีล็อกอิน
เปิดบัญชี

19 มิ.ย. 2025

พื้นฐาน

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจคืออะไร? ประเภทและตัวอย่างที่สำคัญ

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจคืออะไร? ประเภทและตัวอย่างที่สำคัญ

ในฐานะเทรดเดอร์ คุณต้องการรับข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้สามารถหาโอกาสที่ดีและวางคำสั่งซื้อขายที่ประสบความสำเร็จ ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจสามารถช่วยให้คุณเข้าใจบริบทที่คุณกำลังเทรดอยู่ได้ดีขึ้น คุณอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อัตราการว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวชี้วัด เพราะพวกมันบ่งบอกถึงแง่มุมต่าง ๆ ของสภาพเศรษฐกิจ นอกจากนี้ มันยังให้คำบอกใบ้เกี่ยวกับทิศทางที่เศรษฐกิจนั้นอาจกำลังมุ่งไป

นักวิเคราะห์นโยบายใช้ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจเพื่อตัดสินใจซึ่งส่งผลต่อตลาดหุ้น การตระหนักรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้สามารถช่วยให้คุณวางตำแหน่งตัวเองได้ดีขึ้น

การทำความเข้าใจตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจคือชิ้นส่วนของข้อมูลเศรษฐศาสตร์มหภาคเฉพาะด้าน (เช่น อัตราการว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ และอัตราการใช้จ่ายของผู้บริโภค) ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วจะช่วยสร้างภาพรวมของสถานะเศรษฐกิจโดยรวมและแนวโน้มของทิศทางในอนาคต

ผู้กำหนดนโยบายและนักวิเคราะห์ต่างจับตามองตัวชี้วัดเหล่านี้อย่างใกล้ชิด และใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจด้านการเงินและการเมืองอย่างมีข้อมูล เช่น การกำหนดภาษีศุลกากรหรือการปรับลดอัตราดอกเบี้ย การตัดสินใจเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น นักลงทุนสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลดังกล่าวเพื่อประเมินโอกาสการลงทุนในปัจจุบันและอนาคต ในการเทรดฟอเร็กซ์ หุ้น และดัชนีต่าง ๆ

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจมักจะออกมาในรูปแบบของรายงานอย่างเป็นทางการที่เผยแพร่เป็นประจำตามกำหนดการ โดยรัฐบาล องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และมหาวิทยาลัย ในสหรัฐอเมริกา เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ต่างรอติดตามรายงานจากสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯที่เป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการจ้างงานและอัตราเงินเฟ้อ สำนักสำรวจสำมะโนประชากรสหรัฐฯ ที่รายงานข้อมูลด้านยอดขายและที่อยู่อาศัย ธนาคากลางสหรัฐฯ ที่เป็นผู้กำหนดอัตราดอกเบี้ย และ The Conference Board ที่เป็นผู้วิจัยและจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค

ประเภทของตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ตามช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรเศรษฐกิจ

image_01.jpg

ตัวชี้วัดนำจะทำนายการเปลี่ยนแปลงและแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต ตัวชี้วัดเหล่านี้รวมถึงเส้นอัตราผลตอบแทน ราคาหุ้น และจำนวนธุรกิจที่ก่อตั้งใหม่ พวกมันถูกเรียกว่า "ตัวชี้วัดนำ" เพราะตัวเลขเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงก่อนที่เศรษฐกิจจะเปลี่ยนแปลง ซึ่งทำให้มีประโยชน์ในการทำนายแนวโน้มเศรษฐกิจ

ตัวชี้วัดตามสถานการณ์เป็นเหมือนภาพถ่ายสุขภาพทางเศรษฐกิจแบบเรียลไทม์ โดยจะเน้นไปที่พื้นที่หรือภูมิภาคที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งรวมถึง ตัวเลข GDP และระดับการจ้างงาน ตัวชี้วัดประเภทนี้เป็นที่ติดตามอย่างใกล้ชิดที่สุดโดยผู้กำหนดนโยบาย เพราะมันสะท้อนสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงในเศรษฐกิจในปัจจุบัน

ตัวชี้วัดตาม ตามชื่อของมัน มันจะให้ข้อมูลหลังจากที่เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจได้เกิดขึ้นไปแล้ว ตัวอย่างเช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และอัตราการว่างงาน แม้ว่าตัวชี้วัดเหล่านี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจ แต่ก็มักไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อการพัฒนากลยุทธ์หรือหาโอกาสในการเทรด เพราะตัวเลขอาจล้าสมัยไปแล้วเมื่อมีการเผยแพร่

ลักษณะของตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอาจเป็นแบบตามวัฏจักร (procyclical) แบบต้านวัฏจักร (countercyclical) และแบบอิสระจากวัฏจักร (acyclical) คำเหล่านี้ดูซับซ้อน แต่จริง ๆ แล้วมันตรงไปตรงมา

ตัวชี้วัดแบบตามวัฎจักร (Procyclical indicators) จะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันกับเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น GDP ของประเทศจะเปลี่ยนแปลงตามประสิทธิภาพของเศรษฐกิจ โดยจะเพิ่มขึ้นเมื่อเศรษฐกิจเติบโต และลดลงเมื่อเศรษฐกิจอยู่ในช่วงถดถอย

ตัวชี้วัดแบบต้านวัฎจักร (Countercyclical indicators) จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น อัตราการว่างงานมักจะลดลงในตอนที่เศรษฐกิจกำลังดีขึ้น

ตัวชี้วัดแบบอิสระจากวัฏจักร (Acyclical indicators) จะไม่มีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น การใช้พลังงานและภัยธรรมชาติจะไม่ขึ้นอยู่กับวัฏจักรธุรกิจ อย่างไรก็ตาม สภาพอากาศอาจส่งผลต่อตลาดและเศรษฐกิจในระยะยาวผ่านการผลิตพืชผล

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญมีอะไรบ้าง?

ตัวชี้วัดเศรษฐกิจจะให้ข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับด้านต่าง ๆ ของเศรษฐกิจ นักลงทุนสามารถเลือกติดตามตัวชี้วัดเฉพาะทางตามกลยุทธ์การลงทุนของตน ต่อไปนี้คือตัวอย่างบางส่วนของตัวชี้วัดเศรษฐกิจ:

1. ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เป็นตัวชี้วัดตามที่สะท้อนถึงผลผลิตและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในช่วงเวลาหนึ่ง ถือเป็นตัวชี้วัดที่ดีที่สุดสำหรับการประเมินขนาดและสุขภาพของเศรษฐกิจ

2. อัตราดอกเบี้ย คือเปอร์เซ็นต์ที่จ่ายให้กับเจ้าของบัญชีออมทรัพย์ หรือเรียกเก็บจากผู้กู้เงิน โดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศจะเป็นผู้กำหนดอัตราดอกเบี้ยนี้ ธนาคารกลางจะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ และลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่หากอัตราดอกเบี้ยสูงเกินไปเป็นเวลานานเกินไป นั่นอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเป็นการหดตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยาวนานหลายเดือน

3. ความแข็งแกร่งของสกุลเงินเป็นตัวชี้วัดตามที่ได้รับความนิยม ซึ่งช่วยให้คุณเข้าใจความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจประเทศหนึ่ง ๆ ผ่านการเปรียบเทียบสกุลเงินของประเทศนั้นกับสกุลเงินอื่น ๆ หากสกุลเงินของประเทศแข็งแกร่ง มันจะดึงดูดการลงทุนที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น นอกจากนี้มันยังมีอำนาจซื้อมากขึ้น ทำให้สามารถนำเข้าสินค้าในราคาที่ถูกกว่าและขายสินค้าไปต่างประเทศในราคาที่สูงขึ้นได้ แต่หากสกุลเงินอ่อนค่า นั่นอาจทำให้ค่าใช้จ่ายสำหรับนักท่องเที่ยวถูกลงและดึงดูดการท่องเที่ยวได้มากขึ้น

4. ตลาดหุ้นเป็นสถานที่ที่ซื้อขายหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ตลาดหุ้นมีความเสี่ยงสูงและมักมีการเก็งกำไร โดยอาจไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นเสมอไป เนื่องจากบางหุ้นอาจถูกซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป และอาจเกิดฟองสบู่ได้ โดยทั่วไปราคาหุ้นมักจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีการเผยรายงานถึงผลประกอบการที่ดี ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าบริษัทต่าง ๆ มีผลประกอบการที่ดีและเศรษฐกิจกำลังเติบโต

5. ข้อมูลอัตราการว่างงานและค่าจ้างเป็นตัวชี้วัดตามที่เน้นไปที่จำนวนงานที่หายไปและจำนวนงานที่ได้ถูกสร้างขึ้นในเดือนที่ผ่านมา รวมถึงค่าจ้างที่แรงงานได้รับ อัตราการว่างงานต่ำและค่าจ้างสูงเป็นสัญญาณของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ข้อมูลนี้อาจล้าสมัยไปแล้วในช่วงที่มีการเผยแพร่ออกมา

6. ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดตาม และเป็นหนึ่งในดัชนีที่ถูกจับตามองมากที่สุดเพื่อวัดอัตราเงินเฟ้อ โดย CPI จะวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการในแต่ละเดือนและรวมถึงค่าครองชีพหลังจากที่เกิดขึ้นแล้ว เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงเกินไป มันอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของเศรษฐกิจ เนื่องจากประชาชนต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าในปริมาณเท่าเดิม ส่งผลให้เงินออมของผู้คนลดลงและอำนาจซื้อก็ลดลง

7. ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เป็นตัวชี้วัดนำและสำคัญของภาวะเงินเฟ้อ เพราะมันแสดงการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนการผลิตสินค้า (เช่น เหมืองแร่ การผลิต การเกษตร ป่าไม้ และการประมง) ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงราคาจะปรากฏในร้านค้า นอกจากนี้ มันยังเป็นรายงานแรกที่ออกในแต่ละเดือน ดังนั้นมันจะช่วยให้คุณได้ลิ้มรสสิ่งที่กำลังจะมาถึง ในขณะที่ CPI นั้นวัดราคาสำหรับผู้บริโภค PPI ก็จะวัดราคาสำหรับภาคอุตสาหกรรม

8. ตลาดอสังหาริมทรัพย์เป็นตัวชี้วัดนำเพราะมันบอกเราถึงจำนวนใบสมัครโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ที่ยื่นก่อนที่จะเริ่มก่อสร้างจริง ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในอีกอย่างน้อยหกเดือนข้างหน้า ตัวเลขการเริ่มก่อสร้างที่อยู่อาศัยจะแสดงจำนวนโครงการที่เริ่มก่อสร้างอย่างเป็นทางการแล้ว สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความต้องการบ้านใหม่และการเปลี่ยนแปลงของราคาอสังหาริมทรัพย์ ตลาดที่อยู่อาศัยที่อ่อนแออาจส่งผลกระทบต่อภาคส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจผ่านการสูญเสียงานในภาคการก่อสร้าง การลดลงของความมั่งคั่งของเจ้าของบ้าน ความเสี่ยงที่เจ้าของบ้านจะผิดนัดชำระหนี้

ประโยชน์ของการใช้ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในการเทรด

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจสามารถใช้งานได้ในหลากหลายวัตถุประสงค์ขึ้นอยู่กับผู้ที่นำไปใช้

image_02.jpg

รัฐบาลและธนาคารกลางจะใช้ตัวชี้วัดเหล่านี้เพื่อกำหนดนโยบายการเมืองและการคลัง เช่น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจและควบคุมอัตราเงินเฟ้อ บางครั้งพวกเขาอาจมีความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับแนวทางที่ควรดำเนินการ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เรียกร้องให้เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลาง ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม พาวเวลล์ได้ชี้แจงว่า ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจต่าง ๆ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อได้แสดงให้เห็นถึงเศรษฐกิจกำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง และเขาก็ไม่รีบร้อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินไปอาจกระทบต่อเป้าหมายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการคงอัตราเงินเฟ้อไว้ที่ 2% นอกจากนี้ เขายังระบุว่าการขึ้นภาษีนำเข้าล่าสุดของประธานาธิบดีอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อยากที่จะควบคุมได้ แต่นั่นก็ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบที่ตามมา

นโยบายเหล่านี้ส่งผลให้การกู้ยืมเงินและการลงทุนทำได้ง่ายหรือยากขึ้น ซึ่งกระทบต่อฐานะการเงินของบริษัทต่าง ๆ จากนั้นธุรกิจจะปรับเปลี่ยนการใช้งบประมาณและคาดการณ์ต้นทุนการกู้ยืมรวมถึงความต้องการของผู้บริโภค ส่วนผู้บริโภคจะตัดสินใจว่าจะสามารถซื้อบ้านใหม่ ไปร้านอาหาร หรือซื้อกางเกงยีนส์ตัวใหม่ได้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ นั่นหมายความว่าคุณในฐานะนักลงทุนสามารถใช้รายงานเหล่านี้เพื่อคาดการณ์นโยบายที่จะส่งผลต่อตลาดครั้งต่อไปได้

ตัวชี้วัดนำจะช่วยให้เทรดเดอร์คาดการณ์แนวโน้มในอนาคตได้ และเนื่องจากข้อมูลตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจใหม่จะออกมาทุกเดือน พวกมันจึงสร้างโอกาสในการเทรดให้อย่างสม่ำเสมอ สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนการเปิดสถานะหรือปรับโครงสร้างพอร์ตการลงทุนตลอดทั้งปี

ก่อนที่ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจจะถูกเผยแพร่ นักวิเคราะห์มักจะให้การคาดการณ์ตัวเลขที่คาดว่าจะออกมา หากข้อมูลจริงแตกต่างจากค่าคาดการณ์ของพวกเขา ตลาดอาจเกิดความผันผวนได้ เนื่องจากนักลงทุนจะปรับสถานะการลงทุนของตนตามข้อมูลที่ออกมา

ข้อจำกัดของการใช้ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในการเทรด

การเทรดโดยอาศัยตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวมีข้อจำกัดหลายประการ ข้อมูลตัวชี้วัดอาจไม่ถูกต้อง 100% และในบางกรณีอาจถูกปรับแก้ในภายหลัง ซึ่งจะทำให้การประเมินครั้งแรกของคุณไม่ถูกต้อง ตัวเลขเหล่านี้บางส่วนเป็นข้อมูลที่ช้าที่ไม่สะท้อนสภาพเศรษฐกิจในเวลาจริง นอกจากนี้ ตัวชี้วัดนำก็ไม่สามารถทำนายอนาคตได้ถูกต้องเสมอไป

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจเดี่ยว ๆ มักไม่สามารถจับภาพความซับซ้อนของสภาพตลาดโดยรวมได้ เช่นเดียวกับรายงานผลประกอบการของบริษัท แม้คุณจะคาดการณ์ตัวชี้วัดบางตัวได้ถูกต้อง แต่นั่นก็ไม่รับประกันว่าตลาดจะเคลื่อนไหวตามทิศทางที่สมเหตุสมผลเสมอไป

ดังที่จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ ได้กล่าวไว้ว่า "ตลาดสามารถอยู่ในสภาวะไร้เหตุผลได้นานเกินกว่าที่คุณจะสามารถรักษาสภาพคล่องไว้ได้"

รายงานทางเศรษฐกิจอาจออกมาในเชิงบวก แต่ก็ยังสามารถนำไปสู่ตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงได้ เนื่องจากมีปัจจัยและตัวชี้วัดอื่น ๆ อีกมากที่เข้ามามีบทบาทและส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน ตัวเลขเหล่านี้ยังขึ้นอยู่กับการตีความ - สิ่งที่บางคนมองว่าเป็นเชิงบวก อาจถูกมองว่าไม่ดีพอโดยคนอื่น ๆ นี่คือเหตุผลที่นักเศรษฐศาสตร์และผู้กำหนดนโยบายถกเถียงกันเรื่องความเหมาะสมและขนาดของการปรับลดอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ เหตุการณ์นอกเหนือจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ เช่น ภัยธรรมชาติ การระบาดของโรค และสงคราม ก็อาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นได้เช่นกัน

สรุป

ตัวชี้วัดเศรษฐกิจเปรียบเสมือนชีพจรของเศรษฐกิจ มันให้ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพในปัจจุบันและทิศทางในอนาคต ผู้กำหนดนโยบายจะใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการตัดสินใจทางการเมืองและการคลังซึ่งสามารถส่งผลต่อตลาดหุ้นได้ เนื่องจากรายงานเหล่านี้จะถูกเผยแพร่เป็นประจำ เทรดเดอร์จึงมีโอกาสอย่างสม่ำเสมอที่จะศึกษาการคาดการณ์ คาดเดาตัวเลข และตอบสนองต่อข้อมูลนั้น คุณสามารถเลือกโฟกัสที่ตัวชี้วัดบางตัวที่สอดคล้องกับกลยุทธ์การเทรด หรือพยายามคาดการณ์และรับมือกับปฏิกิริยาของตลาดหลังการเผยแพร่รายงาน นอกจากนี้คุณยังสามารถรวมข้อมูลจากตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจกับข้อมูลย้อนหลังและเครื่องมือต่าง ๆ เช่น การวิเคราะห์ทางเทคนิคได้ แต่อย่าลืมมองภาพรวมด้วย การติดตามเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจและการเมืองเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเทรดอย่างชาญฉลาด คุณไม่มีทางได้รับข้อมูลมากเกินไปได้หรอกนะ

ตัดสินใจอย่างมีข้อมูลด้วยการติดตามปฏิทินเศรษฐกิจของเรา!

แบ่งปันกับเพื่อน ๆ:

เปิดบัญชี FBS

โดยการลงทะเบียน คุณได้ยอมรับเงื่อนไขของ ข้อตกลงลูกค้า FBS และ นโยบายความเป็นส่วนตัว FBS และยอมรับความเสี่ยงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการซื้อขายในตลาดการเงินระดับโลก

FBS ณ สื่อสังคมออนไลน์

iconhover iconiconhover iconiconhover iconiconhover icon

ติดต่อเรา

iconhover iconiconhover iconiconhover iconiconhover icon
store iconstore icon
ดาวน์โหลดได้ที่
Google Play

การซื้อขาย

บริษัท

เกี่ยวกับ FBS

เอกสารทางกฎหมาย

ข่าวเกี่ยวกับบริษัท

สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี้

ศูนย์ช่วยเหลือ

โปรแกรมพันธมิตร

เว็บไซต์นี้ดำเนินการโดย FBS Markets Inc. หมายเลขจดทะเบียน 000001317 ซึ่ง FBS Markets Inc. ได้รับการจดทะเบียนโดย Financial Services Commission ภายใต้พระราชบัญญัติอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ฯ 2021 (Securities Industry Act 2021) ใบอนุญาตเลขที่ 000102/31 ที่อยู่สำนักงาน: 9725, Fabers Road Extension, Unit 1, Belize City, Belize

โดย FBS Markets Inc. ไม่ได้ให้บริการทางการเงินแก่ผู้อยู่อาศัยในเขตอำนาจศาลบางแห่ง ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง: สหรัฐอเมริกา, สหภาพยุโรป, สหราชอาณาจักร, อิสราเอล, สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน, เมียนมาร์

ธุรกรรมการชำระเงินได้รับการจัดการโดย HDC Technologies Ltd.; Registration No. HE 370778; Legal address: Arch. Makariou III & Vyronos, P. Lordos Center, Block B, Office 203, Limassol, Cyprus ที่อยู่เพิ่มเติม: Office 267, Irene Court, Corner Rigenas and 28th October street, Agia Triada, 3035, Limassol, Cyprus

เบอร์ติดต่อ: +357 22 010970 เบอร์ติดต่อเพิ่มเติม: +501 611 0594

สำหรับความร่วมมือ กรุณาติดต่อเราผ่าน [email protected]

คำเตือนเรื่องความเสี่ยง: ก่อนที่คุณจะเริ่มทำการซื้อขาย คุณควรเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับตลาดสกุลเงินและการซื้อขายโดยใช้มาร์จิ้นอย่างถ่องแท้ และคุณควรตระหนักถึงระดับประสบการณ์ของตนเอง

การคัดลอก การทำสำเนา การเผยแพร่ รวมถึงแหล่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตของเนื้อหาใดๆ จากเว็บไซต์นี้สามารถดำเนินการได้เฉพาะเมื่อได้รับการอนุญาตที่เป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น

ข้อมูลบนเว็บไซต์นี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน การชี้แนะ หรือการชักชวนให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการลงทุนใด ๆ ทั้งสิ้น