ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจมักจะออกมาในรูปแบบของรายงานอย่างเป็นทางการที่เผยแพร่เป็นประจำตามกำหนดการ โดยรัฐบาล องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และมหาวิทยาลัย ในสหรัฐอเมริกา เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ต่างรอติดตามรายงานจากสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯที่เป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการจ้างงานและอัตราเงินเฟ้อ สำนักสำรวจสำมะโนประชากรสหรัฐฯ ที่รายงานข้อมูลด้านยอดขายและที่อยู่อาศัย ธนาคากลางสหรัฐฯ ที่เป็นผู้กำหนดอัตราดอกเบี้ย และ The Conference Board ที่เป็นผู้วิจัยและจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค
ประเภทของตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ
ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ตามช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรเศรษฐกิจ

ตัวชี้วัดนำจะทำนายการเปลี่ยนแปลงและแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต ตัวชี้วัดเหล่านี้รวมถึงเส้นอัตราผลตอบแทน ราคาหุ้น และจำนวนธุรกิจที่ก่อตั้งใหม่ พวกมันถูกเรียกว่า "ตัวชี้วัดนำ" เพราะตัวเลขเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงก่อนที่เศรษฐกิจจะเปลี่ยนแปลง ซึ่งทำให้มีประโยชน์ในการทำนายแนวโน้มเศรษฐกิจ
ตัวชี้วัดตามสถานการณ์เป็นเหมือนภาพถ่ายสุขภาพทางเศรษฐกิจแบบเรียลไทม์ โดยจะเน้นไปที่พื้นที่หรือภูมิภาคที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งรวมถึง ตัวเลข GDP และระดับการจ้างงาน ตัวชี้วัดประเภทนี้เป็นที่ติดตามอย่างใกล้ชิดที่สุดโดยผู้กำหนดนโยบาย เพราะมันสะท้อนสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงในเศรษฐกิจในปัจจุบัน
ตัวชี้วัดตาม ตามชื่อของมัน มันจะให้ข้อมูลหลังจากที่เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจได้เกิดขึ้นไปแล้ว ตัวอย่างเช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และอัตราการว่างงาน แม้ว่าตัวชี้วัดเหล่านี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจ แต่ก็มักไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อการพัฒนากลยุทธ์หรือหาโอกาสในการเทรด เพราะตัวเลขอาจล้าสมัยไปแล้วเมื่อมีการเผยแพร่
ลักษณะของตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ
ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอาจเป็นแบบตามวัฏจักร (procyclical) แบบต้านวัฏจักร (countercyclical) และแบบอิสระจากวัฏจักร (acyclical) คำเหล่านี้ดูซับซ้อน แต่จริง ๆ แล้วมันตรงไปตรงมา
ตัวชี้วัดแบบตามวัฎจักร (Procyclical indicators) จะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันกับเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น GDP ของประเทศจะเปลี่ยนแปลงตามประสิทธิภาพของเศรษฐกิจ โดยจะเพิ่มขึ้นเมื่อเศรษฐกิจเติบโต และลดลงเมื่อเศรษฐกิจอยู่ในช่วงถดถอย
ตัวชี้วัดแบบต้านวัฎจักร (Countercyclical indicators) จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น อัตราการว่างงานมักจะลดลงในตอนที่เศรษฐกิจกำลังดีขึ้น
ตัวชี้วัดแบบอิสระจากวัฏจักร (Acyclical indicators) จะไม่มีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น การใช้พลังงานและภัยธรรมชาติจะไม่ขึ้นอยู่กับวัฏจักรธุรกิจ อย่างไรก็ตาม สภาพอากาศอาจส่งผลต่อตลาดและเศรษฐกิจในระยะยาวผ่านการผลิตพืชผล
ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญมีอะไรบ้าง?
ตัวชี้วัดเศรษฐกิจจะให้ข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับด้านต่าง ๆ ของเศรษฐกิจ นักลงทุนสามารถเลือกติดตามตัวชี้วัดเฉพาะทางตามกลยุทธ์การลงทุนของตน ต่อไปนี้คือตัวอย่างบางส่วนของตัวชี้วัดเศรษฐกิจ:
1. ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เป็นตัวชี้วัดตามที่สะท้อนถึงผลผลิตและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในช่วงเวลาหนึ่ง ถือเป็นตัวชี้วัดที่ดีที่สุดสำหรับการประเมินขนาดและสุขภาพของเศรษฐกิจ
2. อัตราดอกเบี้ย คือเปอร์เซ็นต์ที่จ่ายให้กับเจ้าของบัญชีออมทรัพย์ หรือเรียกเก็บจากผู้กู้เงิน โดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศจะเป็นผู้กำหนดอัตราดอกเบี้ยนี้ ธนาคารกลางจะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ และลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่หากอัตราดอกเบี้ยสูงเกินไปเป็นเวลานานเกินไป นั่นอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเป็นการหดตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยาวนานหลายเดือน
3. ความแข็งแกร่งของสกุลเงินเป็นตัวชี้วัดตามที่ได้รับความนิยม ซึ่งช่วยให้คุณเข้าใจความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจประเทศหนึ่ง ๆ ผ่านการเปรียบเทียบสกุลเงินของประเทศนั้นกับสกุลเงินอื่น ๆ หากสกุลเงินของประเทศแข็งแกร่ง มันจะดึงดูดการลงทุนที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น นอกจากนี้มันยังมีอำนาจซื้อมากขึ้น ทำให้สามารถนำเข้าสินค้าในราคาที่ถูกกว่าและขายสินค้าไปต่างประเทศในราคาที่สูงขึ้นได้ แต่หากสกุลเงินอ่อนค่า นั่นอาจทำให้ค่าใช้จ่ายสำหรับนักท่องเที่ยวถูกลงและดึงดูดการท่องเที่ยวได้มากขึ้น
4. ตลาดหุ้นเป็นสถานที่ที่ซื้อขายหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ตลาดหุ้นมีความเสี่ยงสูงและมักมีการเก็งกำไร โดยอาจไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นเสมอไป เนื่องจากบางหุ้นอาจถูกซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป และอาจเกิดฟองสบู่ได้ โดยทั่วไปราคาหุ้นมักจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีการเผยรายงานถึงผลประกอบการที่ดี ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าบริษัทต่าง ๆ มีผลประกอบการที่ดีและเศรษฐกิจกำลังเติบโต
5. ข้อมูลอัตราการว่างงานและค่าจ้างเป็นตัวชี้วัดตามที่เน้นไปที่จำนวนงานที่หายไปและจำนวนงานที่ได้ถูกสร้างขึ้นในเดือนที่ผ่านมา รวมถึงค่าจ้างที่แรงงานได้รับ อัตราการว่างงานต่ำและค่าจ้างสูงเป็นสัญญาณของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ข้อมูลนี้อาจล้าสมัยไปแล้วในช่วงที่มีการเผยแพร่ออกมา
6. ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดตาม และเป็นหนึ่งในดัชนีที่ถูกจับตามองมากที่สุดเพื่อวัดอัตราเงินเฟ้อ โดย CPI จะวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการในแต่ละเดือนและรวมถึงค่าครองชีพหลังจากที่เกิดขึ้นแล้ว เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงเกินไป มันอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของเศรษฐกิจ เนื่องจากประชาชนต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าในปริมาณเท่าเดิม ส่งผลให้เงินออมของผู้คนลดลงและอำนาจซื้อก็ลดลง
7. ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เป็นตัวชี้วัดนำและสำคัญของภาวะเงินเฟ้อ เพราะมันแสดงการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนการผลิตสินค้า (เช่น เหมืองแร่ การผลิต การเกษตร ป่าไม้ และการประมง) ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงราคาจะปรากฏในร้านค้า นอกจากนี้ มันยังเป็นรายงานแรกที่ออกในแต่ละเดือน ดังนั้นมันจะช่วยให้คุณได้ลิ้มรสสิ่งที่กำลังจะมาถึง ในขณะที่ CPI นั้นวัดราคาสำหรับผู้บริโภค PPI ก็จะวัดราคาสำหรับภาคอุตสาหกรรม
8. ตลาดอสังหาริมทรัพย์เป็นตัวชี้วัดนำเพราะมันบอกเราถึงจำนวนใบสมัครโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ที่ยื่นก่อนที่จะเริ่มก่อสร้างจริง ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในอีกอย่างน้อยหกเดือนข้างหน้า ตัวเลขการเริ่มก่อสร้างที่อยู่อาศัยจะแสดงจำนวนโครงการที่เริ่มก่อสร้างอย่างเป็นทางการแล้ว สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความต้องการบ้านใหม่และการเปลี่ยนแปลงของราคาอสังหาริมทรัพย์ ตลาดที่อยู่อาศัยที่อ่อนแออาจส่งผลกระทบต่อภาคส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจผ่านการสูญเสียงานในภาคการก่อสร้าง การลดลงของความมั่งคั่งของเจ้าของบ้าน ความเสี่ยงที่เจ้าของบ้านจะผิดนัดชำระหนี้
ประโยชน์ของการใช้ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในการเทรด
ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจสามารถใช้งานได้ในหลากหลายวัตถุประสงค์ขึ้นอยู่กับผู้ที่นำไปใช้

รัฐบาลและธนาคารกลางจะใช้ตัวชี้วัดเหล่านี้เพื่อกำหนดนโยบายการเมืองและการคลัง เช่น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจและควบคุมอัตราเงินเฟ้อ บางครั้งพวกเขาอาจมีความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับแนวทางที่ควรดำเนินการ